AHA-BHA-PHA คืออะไร ใช้ยังไงให้เห็นผล? สำหรับมือใหม่

AHA-BHA-PHA คืออะไร

AHA-BHA-PHA คืออะไร คำถามที่หลายคนสงสัย เมื่อเริ่มต้นดูแลผิว โดยสารเหล่านี้ มักพบในผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น ลดการอุดตัน และปรับสภาพผิว ให้เรียบเนียนขึ้น แต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน แล้วแบบไหนที่เหมาะกับผิว บทความนี้ จะพาไปทำความรู้จัก กับสารผลัดเซลล์ผิว ทั้ง 3 ชนิดนี้

AHA, BHA, PHA คืออะไร คู่มือการเลือกใช้ที่ถูกต้อง

AHA-BHA-PHA คืออะไร

AHA-BHA-PHA คืออะไร AHA หรือ Alpha Hydroxy-Acid เป็นกลุ่มของกรดละลายน้ำได้ มีแหล่งกำเนิดจากพืชผลไม้ต่างๆ จึงมักถูกเรียกว่ากรดผลไม้ (Fruit Acids) ตัวอย่างของเอเอชเอ ที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเช่น Glycolic-Acid (จากอ้อย) Lactic-Acid (จากนม) Mandelic-Acid (จากอัลมอนด์) และ Citric-Acid (จากผลไม้ตระกูลส้ม)

BHA หรือ Beta Hydroxy-Acid เป็นกรดที่ละลายในไขมัน ซึ่งช่วยทำความสะอาดรูขุมขน ได้ลึกกว่ากลุ่มเอเอชเอ ตัวที่พบมากที่สุดคือ Salicylic-Acid ซึ่งได้มาจากเปลือกต้นวิลโลว์ (Willow Bark)

PHA หรือ Polyhydroxy-Acid เป็นสารที่มีโครงสร้าง คล้ายกับเอเอชเอ แต่มีโมเลกุลขนาดใหญ่กว่า ทำให้ซึมเข้าสู่ผิวช้ากว่า และอ่อนโยนกว่า จึงเหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย และผิวแห้ง ตัวอย่างของ PHA ที่นิยมใช้เช่น Gluconolactone, Lactobionic-Acid และ Galactose [1]

เลือกใช้เอเอชเอ, บีเอชเอ, พีเอชยังไง?

จากที่ทราบว่า AHA-BHA-PHA คืออะไร แล้วหลายคนอาจสงสัยว่า จะเลือกใช้อย่างไรดี การเลือกใช้เอเอชเอ, บีเอชเอ และพีเอชเอ ควรพิจารณาจากสภาพผิว และปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ ที่เหมาะสม และลดความเสี่ยง ในการระคายเคือง

  • ผิวแห้งและผิวธรรมดา: ควรเลือกเอเอชเอ เป็นกรดที่ละลายในน้ำ มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้ผิวกระจ่างใส และเรียบเนียนขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว จึงเหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้ง หรือผิวธรรมดา อาจใช้ร่วมกับ ครีมเนื้อเข้มข้น สำหรับผิวแห้ง
  • ผิวมันและเป็นสิวควรเลือกบีเอชเอ เป็นกรดที่ละลายในน้ำมัน มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยลดรอยแดงจากสิว สามารถซึมลึก เข้าสู่รูขุมขน และช่วยลดการอุดตันของไขมัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของสิว จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมัน รูขุมขนกว้าง หรือเป็นสิวง่าย
  • ผิวแพ้ง่าย และผิวแห้งมากควรเลือกพีเอชเอ เป็นกรดที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่กว่าทั้งเอเอชเอ และบีเอชเอ ทำให้ซึมเข้าสู่ผิวได้ช้ากว่า และอ่อนโยนกว่า จึงช่วยผลัดเซลล์ผิว โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองมาก เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย หรือผิวแห้งมาก ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว และลดอาการแพ้

AHA BHA PHA ใช้ทุกวันได้ไหม?

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเอเอชเอ, บีเอชเอ และพีเอชเอ สามารถใช้ได้ทุกวัน แต่ความถี่ในการใช้งาน ควรพิจารณาตามสภาพผิว เช่น

  • ผิวแห้ง หรือผิวบอบบางแพ้ง่าย: ควรใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวเพียง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง
  • ผิวมัน หรือมีแนวโน้มเป็นสิว: สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน

การผลัดเซลล์ผิวบ่อยเกินไป อาจทำให้ผิวระคายเคือง แห้ง หรือเกิดการอักเสบได้ ดังนั้น ควรสังเกตปฏิกิริยาของผิว และปรับความถี่ในการใช้ ตามความเหมาะสม [2]

AHA BHA PHA ห้ามใช้กับอะไร?

ควรระมัดระวังในการใช้ร่วมกับสารบางชนิด เนื่องจากอาจทำให้ผิวระคายเคือง หรือประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ลดลง ดังนี้

  • เอเอชเอ/บีเอชเอ กับวิตามินซี: การใช้เอเอชเอ หรือบีเอชเอ ร่วมกับวิตามินซี อาจทำให้ผิวระคายเคือง เนื่องจากทั้งสอง มีความเป็นกรดสูง และอาจลดประสิทธิภาพของกันและกัน
  • เอเอชเอกับบีเอชเอ: การใช้เอเอชเอกับบีเอชเอพร้อมกัน อาจทำให้ผิวแห้งลอก และไม่แข็งแรง ควรเลือกใช้ตัวใดตัวหนึ่ง หรือใช้สลับวันกัน
  • เอเอชเอ/บีเอชเอ กับเรตินอล: การใช้เอเอชเอหรือบีเอชเอ ร่วมกับเรตินอล อาจเพิ่มความเสี่ยง ต่อการระคายเคืองผิว เนื่องจากทั้งสอง มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิว
  • เอเอชเอ/บีเอชเอกับเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์: การใช้ร่วมกัน อาจทำให้ผิวแห้ง และระคายเคืองมากขึ้น

สำหรับพีเอชเอ ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน เกี่ยวกับการห้ามใช้ร่วมกับสารอื่น แต่เนื่องจากพีเอชเอ มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิว ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง และสังเกตปฏิกิริยาของผิว [3]

วิธีใช้เอเอชเอ-บีเอชเอ-พีเอชเอให้ได้ผลดี

  • เริ่มจากความเข้มข้นต่ำ เพื่อให้ผิวปรับตัวก่อน
  • ใช้เฉพาะตอนกลางคืน เพราะสารเหล่านี้ ทำให้ผิวไวต่อแสง
  • ทาครีมกันแดดทุกวัน เพื่อลดความเสี่ยง ของผิวไหม้ และจุดด่างดำ
  • ไม่ใช้ร่วมกับสารระคายเคืองอื่นๆ เช่นเรตินอล หรือวิตามินซีเข้มข้น
  • สังเกตอาการแพ้ หากเกิดอาการแดง หรือคัน ควรหยุดใช้ทันที

คำถามเกี่ยวกับเอเอชเอ-บีเอชเอ-พีเอชเอ

  • เอเอชเอ-บีเอชเอ-พีเอชเอ ใช้ทุกวันได้หรือไม่? สามารถใช้ได้ แต่ควรเริ่มจากความถี่ต่ำ เช่น 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ แล้วปรับตามสภาพผิว
  • ใช้เอเอชเอ หรือบีเอชเอก่อน? หากต้องการใช้ร่วมกัน ควรใช้บีเอชเอก่อน เพราะซึมเข้าสู่ผิวได้ลึกกว่า แล้วตามด้วยเอเอชเอ เพื่อผลัดเซลล์ผิวด้านนอก
  • พีเอชเอเหมาะกับผิวแพ้ง่ายจริงหรือไม่? พีเอชเอมีโมเลกุลใหญ่และทำงานช้า จึงอ่อนโยนกว่า และเหมาะกับผิวแพ้ง่าย
  • ควรหยุดใช้เมื่อใด? หากมีอาการแสบร้อน ระคายเคือง หรือผิวลอกเป็นขุย ควรหยุดใช้ และลดความถี่ลง หรือปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

สรุป พีเอชเอ-บีเอชเอ-พีเอชเอสารผลัดเซลล์ผิว

พีเอชเอ-บีเอชเอ-พีเอชเอ เป็นสารที่มีคุณสมบัติ ช่วยผลัดเซลล์ผิว และดูแลปัญหาผิวต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเอเอชเอเหมาะกับการผลัดเซลล์ผิวและเพิ่มความชุ่มชื้น, บีเอชเอเหมาะกับผิวมัน และเป็นสิว, ส่วนพีเอชเออ่อนโยนที่สุด เหมาะกับผิวแพ้ง่าย ควรเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิว และใช้อย่างถูกวิธี

ข้อควรระวังในการใช้เอชเอ-บีเอชเอ-พีเอชเอ

  • พีเอชเอทำให้ผิวไวต่อแสง ควรใช้ตอนกลางคืน และทาครีมกันแดดทุกเช้า
  • บีเอชเออาจทำให้ผิวแห้ง และลอก ควรเริ่มจากความเข้มข้นต่ำ และเพิ่มขึ้น ตามความเหมาะสม
  • พีเอชเออ่อนโยน แต่ก็อาจทำให้ระคายเคืองได้ ในบางกรณี ควรทดสอบที่ผิวก่อนใช้จริง
  • ไม่ควรใช้ทั้ง 3 พร้อมกัน เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคือง หรือลอกมากเกินไป
  • หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับเรตินอล หรือวิตามินซี ที่มีความเป็นกรดสูง อาจทำให้ผิวระคายเคือง และไวต่อแสงมากขึ้น

ใครไม่ควรใช้เอชเอ-บีเอชเอ-พีเอชเอ

  • ผิวแพ้ง่าย หรือระคายเคืองง่าย เสี่ยงต่อการระคายเคือง
  • ผิวแห้งมาก และลอกเป็นขุย อาจทำให้ผิวแห้งกว่าเดิม
  • มีแผลเปิด หรือเป็นโรคผิวหนัง อาจทำให้แผลหายช้า หรือเกิดการอักเสบ
  • ใช้ยารักษาสิวแรงๆ เช่น Isotretinoin อาจทำให้ผิว ไวต่อสารผลัดเซลล์
  • แพ้สารเคมี ควรหลีกเลี่ยงหากมีอาการแพ้มาก่อน
  • หญิงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้บีเอชเอ
Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง